Wednesday, February 22, 2006

จับจิตด้วยใจ



ชื่อหนังสือ จับจิตด้วยใจ
ชื่อผู้เขียน นายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์
สำนักพิมพ์ ศยาม

รวบรวมมาจากคอลัมน์ "จับจิตด้วยใจ" ของหน้าศาสนา - จิตใจ นสพ. มติชนรายวันฉบับวันอาทิตย์ เนื้อหาจะกระตุ้นให้ความสำคัญเรื่อง "ภายใน" ท่ามกลางสังคมที่ยึดเรื่องของ "ภายนอก" เป็นสรณะ ผู้เขียนถ่ายทอดให้เริ่มก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่ "สุขภาพชีวิต"ที่ดี ประกอบด้วย
HEALTH ได้แก่ H = Happyness (ความสุข)
E = Enlightenment (การตื่นรู้)
A = Autonomy (อิสรภาพและการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว)
L = Learning (การเรียนรู้)
T = Transformation) (การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า)
H = Healing (การเกิดการเยียวยาภายใน)

เรื่องที่นายแพทย์วิธานได้พูดถึง มีดังนี้

1. เรื่อง "ความโกรธ" มีผลการวิจัยยืนยันว่า การโกรธแต่ละคร้ง จะทำให้ภูมิคุ้มกัน (IgA)ลดลง ดังนั้น จึงควรเลือกที่จะเปลี่ยนวงจรชีวิตตัวเองให้เป็นวงจรบวก (มีอยู่ 84,000 วิธี) โดยการฝึกเรื่อยๆ ถ้าอยากให้สังคมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตนเองก่อน

2. การฟังอย่างลึกซึ้ง ตามทฤษฏี Dialogue ของ เดวิด โบห์ม เป็นการรับรู้ว่าฟัง โดยไม่ตัดสินว่าผู้อื่นถูกหรือผิด ยังทำให้เกิดความสงบนิ่ง หลุดพ้นจากการขัดแย้ง การตัดสิน และการยึดถือความคิดของตัวเอง

3. สภาวะแห่งความเป็นปกติ ความปกติที่มนุษย์ควรจะมี เป็นสภาวะที่สมดุล เชื่อมโยงกับสรรพสิ่งทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต หลุดไปจากขอบเขตของความชอบ / ไม่ชอบ

4. การผ่าตัดอารมณ์ ด้วยเทคนิค "Cut - thru" โดยมีวิธีคล้ายกับทางพุทธศาสนา คือให้ "รับรู้" หรือ มีสติรู้ตัวก่อน เป็นวิธีที่เหมือนกับวิธี Transformation ของท่าน ติช นัท ฮันห์

5. ควรรู้เท่าท้นกระบวนการ มากกว่าที่จะมัวติดอยู่กับ "เปลือก"ภายนอกที่เป็นเสมือนหนึ่ง "กับดักทางจิตวิญญาณ"

6. เดวิด โบห์ม ได้เสนอทฤษฏีตามแนวคิดควอนตัมฟิสิกส์ว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ทำงานกันแบบโฮโลแกรม ซึ่งจะเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก อันแสดงถึงภาพความจริงที่ปรากฏ ย่อมหมายถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคนด้วย หากภาพเลวร้ายของสังคมที่ปรากฏ ย่อมหมายถึง ความเลวร้ายที่มีในใจตัวเราด้วย เช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้ากันได้กับหลักของ "อิทัปปัจจยตา"ของพระพุทธศาสนา ที่บอกถึงความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงของสรรพสิ่งในจักรวาลอย่างแบ่งแยกไม่ได้ และทุกสรรพสิ่ง เป็นไปตามเหตุและปัจจัยอีกด้วย

7. พลังของการสวดมนต์ สามารถนำมาวิจัยทางการแพทย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้โดยวิทยาศาสตร์แบบเก่า ในควอนตัมฟิสิกส์ กล่าวว่า "ความคิด" เป็นกลุ่มพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งมีผลต่อกลุ่มพลังงานกลุ่มอื่น และมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับพลังงานทั้งหมดในจักรวาลอย่างมีระบบและมีผลต่อกันและกันอย่างแยกไม่ออก การสวดมนต์จึงเป็นเรื่องของพลังงานควอนตัมที่แน่นอนและส่งผลไปยัง "เป้าหมาย" ที่ต้องการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ คลื่นพลังงานของการสวดมนต์ เป็นคลื่นพลังงานที่มีผลต่อการทำงานระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ได้โดยที่ไม่เกี่ยวกับระยะทาง

8. การับรู้ข้อมูลข่าวสาร เพพื่อให้มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น ต้องมีมิติด้านใน เป็นการรับรู้แบบลึก ซึ่งต้องฝึกฝนและปฏิบัติใน 2 เรื่องสม่ำเสมอ คือ
...8.1 การฝึกฝนตัวเองให้เข้าสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ร่างกายจะมีการปรับคลื่นความถี่ที่เหมาะสมและสมดุล
...8.2 มีการรับฟังกันอย่างลึกซึ้ง พ้นจากการตัดสินว่าถูก-ผิด มองอย่างเป็นกลางๆ พ้นจากกรอบของความเป็นภาษา

9. ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ คือ "การไม่ฟังกัน" โลกนี้ไม่มีใครเก่งกว่าใคร ทุกคนเก่งกันคนละอย่าง จึงต้องให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน การสื่อสาร ต้องมีมิติที่ลึกลงไป ทำนอง "ภาษาใจ" ด้วย สามารถฝึกได้โดยใช้ "การฟังอย่างลึกซึ้ง" หรือ Bohm's Dialogue

10. ชีวิตที่ไม่ใช่เรขาคณิต คือ ไม่ต้องคอยพิสูจน์ให้ใครเห็นว่า เราดี เราเก่ง เราแน่ มิฉะนั้น จะตกเป็นทาสทางความคิดของผู้อื่น ให้ลองทำตัวไม่ตกไปใน "กับดักทางความคิด" ดำเนินชีวิตตามที่คิดว่าควรจะเป็น

No comments: